วัสดุ Flyknit ได้เปลี่ยนวิธีที่เราคิดเกี่ยวกับรองเท้าผ้าใบ
แบรนด์ Nike ได้สร้างรองเท้าผ้าใบที่หลากหลายและมีน้ำหนักเบามากขึ้น โดยมี Flyknit เทคโนโลยี เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยยกระดับประสิทธิภาพการเล่นกีฬา
… แต่ Flyknit คืออะไรกันแน่?
วันนี้เราจะมาอธิบาย Flyknit เทคโนโลยี พร้อมกับแสดงให้คุณเห็นว่ามันกลายเป็นส่วนสำคัญของรองเท้าผ้าใบลาย Swoosh ของคูณยังไง
(Image: news.nike.com)
ทำไมถึงใช้วัสดุ Flyknit?
ก่อนที่ตัว Flyknit จะโด่งดัง รองเท้าผ้าใบจะมีท่อนบนที่มีวัสดุแล้วมักจะทำในวิธีที่คล้ายกัน ปกติแล้วจะเย็บวัสดุต่างๆ เข้าด้วยกัน วิธีนี้สร้างของเสียจำนวนมากเนื่องจากจะมีวัสดุส่วนเกินและจำกัดขอบเขตรองเท้าผ้าใบอีกด้วย
ด้วยวัสดุ Flyknit แบรนด์ Nike ได้สร้างท่อนบนรองเท้าที่ไร้รอยต่อและช่วยลดขยะลงประมาณ 60% – ในขณะที่ยังให้ส่วนบนเป็นถูกออกแบบในระดับไมโครที่เหมาะกับความต้องการของรองเท้าทุกประเภทที่ต่างกันโดยที่ใช้การถักในการเพิ่มโครงสร้างและการสนับสนุนที่จำเป็น
Nike ยังคงเข้มงวดเกี่ยวกับการสร้าง Flyknit อย่างแน่นอน แต่สิ่งที่เรารู้ก็คือเส้นด้ายและการแปรผันของผ้าได้รับการออกแบบอย่างแม่นยำ เพื่อสร้างวัสดุที่บางเบา ที่เข้ากับทุกลุคของคุณ
(Image: news.nike.com)
ต้นกำเนิดของ Flyknit
เป้าหมายของ Nike คือการสร้างโครงสร้างน้ำหนักเบาแต่แข็งแรงทนทานเพื่อลดปริมาณขยะให้น้อยที่สุด นี่เป็นเป้าหมายระยะยาวตั้งแต่ช่วง 1980s แล้ว ทีม Nike ได้ทดลองกับรองเท้าตาข่ายที่บางเบา อาทิรุ่น Sock Racer รุ่น Sock Racer พร้อมกับการทดลองอีกหลายครั้ง ทาง Nike ได้ค้นพบว่าท่อนบนรองเท้าได้บางเบาและระบายอากาศพอแล้วแต่ยังไม่แข็งแรงพอ
Nike เริ่มผลิตท่อนบนวัสดุ Flyknit เนื่องจากความปรารถนาของนักวิ่งสำหรับรองเท้าผ้าใบที่มีคุณสมบัติคล้ายถุงเท้า – ความสบายที่รองรับฝาเท้าและบางเบาจนผู้ใส่แทบลืมว่าใส่รองเท้าอยู่
ในปี 2008 แบรนด์ Nike ได้นำเสนอ Flywire เทคโนโลยีที่ใช้ด้ายน้ำหนักเบาและความแข็งแรงสูงเพื่อรองรับการใช้งานตรงตามที่ผู้ใส่ต้องการ ซึ่งทำให้ Nike มั่นใจว่าพวกเขาสามารถสร้างวัสดุท่อนบนที่ให้การสนับสนุนน้ำหนักเบาในเวลาเดียวกัน
เป็นเวลา 4 ปี โปรแกรมเมอร์และนักออกแบบชั้นนำของ Nike ได้ทำการทดลองและวิจัยเทคโนโลยีการถักนิตติ้งเพื่อสร้างวัสดุท่อนบนของรองเท้า Flyknit ตัวแรกของ Nike ที่ประสบความสำเร็จในการหาวิธีสนับสนุนรองเท้าผ้าใบ พร้อมกับความยืดหยุ่นและการระบายอากาศที่พวกเขาต้องการ – ทั้งหมดในชั้นเดียว
(Image: news.nike.com)
การใส่ Flyknit
ในที่สุด Flyknit ก็ถูกเปิดเผยสู่โลกในปี 2012 กับรุ่น Flyknit Racer รองเท้าผ้าใบรุ่น Flyknit Racer เป็นทรงรองเท้าวิ่งที่บางเบาและเป็นนวัตกรรมที่อำนวยการสวมใส่ในรูปแบบที่เหมาะสมและทนทาน การใช้งานครั้งแรกของ Nike สำหรับเทคโนโลยี Flyknit นั้นเป็นรองเท้าที่ออกแบบมาสำหรับการวิ่งมาราธอน แสดงให้เห็นว่าความทนทานและการรองรับกับท่อนบนที่มีการถักนิตติ้งนั้นไม่มีปัญหาอีกต่อไป
นับตั้งแต่รุ่น Flyknit Racer แบรนด์ Nike ได้เปลี่ยนทรงรองเท้ากีฬาที่ใช้เทคโนโลยี Flyknit เพื่อพิสูจน์ว่าการใช้งานมันหลากหลายเพียงใด
ในปี 2013 Eric Avar ชายผู้อยู่เบื้องหลังรองเท้าผ้าที่โด่งดังของ Kobe Bryant ตัดสินใจว่าถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ด้วยรองเท้ารุ่น Kobe Elite 9 คุณ Avar ได้นำ Flyknit ด้วยรองเท้าผ้าใบรุ่น Flyknit Kobe ที่ให้ประสิทธิภาพการใช้งานที่ยอดเยี่ยมนอกจากนั้นแล้วมันยังน้ำหนักเบาและช่วยอำนวยการเคลื่อนไหวของเท้าที่เร็วขึ้น
ในปีต่อมาในปี 2014 วัสดุ Flyknit ก็เริ่มต้นก้าวสู่สนามบอลด้วยรองเท้าฟุตบอลรุ่น Magista Flyknit ที่มาพร้อมท่อนบนที่ช่วยให้ผู้สวมใส่มีความปลอดภัยในขณะเดียวกันก็นำการสัมผัสและการควบคุมเพื่อประสิทธิภาพระดับต่อไป ทุกคนที่สงสัยว่า Flyknit จะสามารถใช้งานกับนักฟุตบอลระดับสูงได้รึเปล่า หมดห่วงกันเลยเมื่อเห็น Mario Gotze ได้ทำประตูในการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 2014 รอบชิงชนะเลิศ
ก้าวต่อไปของ Flyknit
ตั้งแต่ Flyknit มาถึงในปี 2012 มันไม่ได้เป็นแค่ส่วนสำคัญของรองเท้ากีฬามายมาย แต่ยังดูโดดเด่นบนท้องถนน รองเท้าผ้าใบเช่นรุ่น Vapormax Flyknit และ Epic React Flyknit ที่ผสมผสานการลดแรงกระแทกกับ Flyknit เพื่อรูปแบบรองเท้าผ้าใบโดดเด่นไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน
ด้วย Flyknit ที่ปรากฏบนรองเท้าผ้าใบของทุกคนทั่วโลก มันทำให้ชัดเจนว่าเทคโนโลยีนี้กำลังเปลี่ยนรองเท้าผ้าใบ มันทำให้มีความหลากหลาย น้ำหนักที่บางเบา และทรงรองเท้าที่โดดเด่นมากขึ้น CEO ของ Nike คุณ Mark Parker ได้ทำนายความสำเร็จของเทคโนโลยี Flyknit เมื่อเขาอ้างว่าไม่ใช่แค่อนาคตของ Nike แต่เป็นอนาคตของรองเท้าผ้าใบโดยทั่วไป